Mindset ของผม (ทำรายได้หลักล้านตอนอายุ 18)
personal
dewwts

Mindset ของผม (ทำรายได้หลักล้านตอนอายุ 18)

แน่นอนครับการสร้างรายได้หลักล้านตอนผมอายุ 18 นั้นเป็นสิ่งที่ยากและท้าทาย แต่จะเล่าให้ฟังครับว่าผมมีแนวคิดอย่างไร

4 minute read

[บทความนี้เขียนโดยตัวผมเองทั้งหมด ตอนนี้เพิ่งผ่านวันเกิดปีที่ 21 มา ขอใช้โอกาสนี้เล่าภาพรวม และเน้นที่ mindset ตอนอายุ 18 , ตอนนี้นะครับ]

ใช่ครับ ผมสร้างรายได้หลัก “ล้าน” บาทตั้งแต่อายุ 18

ต้องเกริ่นก่อนว่าบทความนี้เป็นแค่ experience ของผมในการทำสิ่งต่าง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงความสำเร็จต่าง ๆ นั้นที่กล่าวถึงในบทความนี้ ไม่มีคำว่า “ง่าย“ การทำสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการทำธุรกิจมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะด้านการเงิน แต่นั่นแหละว่าบทความนี้ไม่ได้ต้องการเล่าถึงธุรกิจ แต่ต้องการเล่าใน mindset ต่าง ๆ ที่ทำให้ตัวผมเองมาอยู่จุดนี้ได้ครับ :)


Mindset ทางด้านความคิด

ทำก่อนคิด เพราะคิดเยอะจะไม่ได้ทำ (สำคัญสุด)

หากพูดถึงคติที่สำคัญที่สุด และเป็นตัวของผมเลยคือประโยคด้านบน เพราะเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ผม แต่ทุก ๆ คนล้วนเป็นเหมือนกันคือหากเรามัวแต่คิด คิดไป คิดมา สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือสักที แต่ไม่ใ่ช่ว่าเราจะดันทุรังทำไปเรื่อย ๆ แบบไม่ดู KPI เลยนะ อย่างน้อยก็ควรให้มันเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เราพบเจออยู่ เช่น เมื่อ 2 ปีที่แล้วเคยเปิดธุรกิจชื่อ Edupixel แล้วตัดสินใจยุบกิจการเพราะว่ามันไม่มี potential ในเชิง scaling (ซึ่งตอนเริ่มทำคือใช้งบประมาณส่วนตัว 50k THB ไม่น้อยเลย) ดังนั้นก็ต้องยอมเสียเงินตรงนี้ไปดีกว่าบริหารต่อแล้วส่อแววเสียเงินมากกว่านี้ XD

แต่จะบอกว่าได้ experience จากการทำธุรกิจแล้วเจ๊ง ได้ insight เยอะมาก ดังนั้นธุรกิจอื่น ๆ ตอนนี้มี MOAT ที่แข็งแรงขึ้นเยอะมาก ๆ เรียกได้ว่า “บทเรียน ราคาแพง“

รวมถึงบางสิ่งที่ทำไปเช่น แพลตฟอร์ม Learning LLM ของโครงการ IMP สามเสนวิทยาลัย เริ่มมีบุคคลภายนอกสนใจ อันนี้แหละครับคือสิ่งที่เราจะได้รับทั้ง ๆ ที่ตอนที่ทำเราไม่ได้เห็นคุณค่าของหลังจากที่สร้างมันไปแล้วเลย

ความเก่ง หรือศักยภาพ?

สำหรับตัวผมแล้วนั้น หลาย ๆ คนอาจจะพูดว่าผม “เก่ง“ แต่จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าผมไม่เก่ง แต่ผมเป็นคนที่มีศักยภาพสูงซึ่งศักยภาพก็มีมากมายหลายด้าน ความเก่งเป็นเพียงแขนงหนึ่งของคนที่มีศักยภาพสูง? ยกตัวอย่างเช่น

ถ้าเก่ง → แล้วไง สร้างได้แค่คุณค่า คุณก็เก่งได้ในสิ่งที่คุณเก่ง ซึ่งแน่นอนว่าเพียงพอ

แต่ถ้าศักยภาพสูง → คุณจะเรียนรู้ คุณจะลอง คุณจะหาในสิ่งที่ทำให้คุณเก่งได้ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้เก่ง (ตอนนี้ก็ยังไม่เก่ง) มาตั้งแต่แรก คนเราเริ่มจาก 0 เหมือนกัน นี่แหละนิยมส่วนตัวเรียกว่าศักยภาพสูง

ตอนมัธยมปลาย ผมแข่งขันทั้งด้านโครงงาน นวัตกรรม International, National ผมเก็บหมด ซึ่งผมเป็นคนแรกของสามเสนวิทยาลัยที่ได้รับเสื้อสามารถ (คล้าย ๆ เสื้อสูท มอบให้แสดงเกียรติคุณ) 3 ตัวในการรับรอบเดียว และผมรับสองปีติดต่อกัน ซึ่งจะมอบให้กับนักเรียนที่ทำชื่อเสียงในระดับชาติและนานาชาติ

คนเราไม่เก่ง มันพัฒนาได้ อยู่ที่คน

สำหรับผมแล้ว ต่อมาจากข้อด้านบนคือถ้าเรามีศักภาพ เราก็เก่ง หรือไปถึงเป้าหมายได้

เล่าเรื่องสักนิด : เมื่อตอนผมเรียนมัธยมปลาย ผมอ่านหนังสือเยอะมากเพราะ ม.ต้นผมได้คะแนน Onet วิทย์แค่ 26/100, สอบโรงเรียนดังก็ไม่ติดแม้กระทั่งห้องเรียนพิเศษ ของสามเสนเอง ทำให้ผมเจอ turning point ที่หนักหน่วงและเกิดความคิดอยากพัฒนาตนเองขึ้นมาเยอะมาก

หลังจากที่อ่านหนังสือแทบทุกวัน วันละเป็นชั่วโมงพบว่าตัวเราเองมีศักยภาพมากที่ตัวเราคิด จาก Onet วิทย์คะแนนน้อยมาก ๆ กลายมาเป็น เกือบ TOP ในหลาย ๆ วิชา เช่น เคมี ฟิสิกส์ … ผมกล้าพูดเลยว่าตอนที่คิดมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คนที่ไม่มีความรู้วิทยาศาสตร์ตอน ม.ต้น กลับทำได้คะแนนดี ๆ ตอน ม.ปลาย ซึ่งเวลาที่ไปพูดให้ใครต่อใครฟังผมกล้าพูดประโยคนี้เลยครับ

มีอยู่ 2-3 ครั้งที่ผมเห็นเพื่อนของผมตอบครูผู้สอนเรื่องสักเรื่องนึงในชีวะ ม.ปลาย ได้ ผมอยากเก่งกว่าเพื่อน ผมยืมหนังสือห้องสมุดเล่มหนามาก ๆ เป็นตั้ง ๆ รวมถึงไปหา Campbell (Biology Textbook)มานั่งอ่าน เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาจะได้ไปตอบครูได้ เพราะผมอยากแสดงให้ทุก ๆ คนเห็นว่าผมมีศักยภาพมากกว่าที่ทุก ๆ คนคิด

คนเราไม่เก่ง มันพัฒนาได้ อยู่ที่คน => อยากได้อะไร เราทำได้เสมอ


เชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ดี หากทำเต็มที่

ผมเชื่อมั่นในตัวเองมาเสมอ ย้อนกลับไปตอนเพิ่งจบ ม.6 ใหม่ ๆ ได้รับข้อเสนอให้สอน Video ใน Monkeyeveryday โดยสอนจำนวน 50 ชั่วโมง ราคา 6 หลัก ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ใหญ่มากสำหรับ ณ ตอนนั้น แต่ผมเชื่อว่าด้วยศักยภาพที่มากพอ เราต้องทำได้ และทำได้ดี หากเขาเห็นคุณค่าของเรา เราก็ย่อมทำให้เค้าเห็นหน่อยว่าเราทำได้

ผลลัพธ์ก็ตามคาด ทำได้ออกมาดีมาก และได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะแยะมากมาย ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ สำหรับโอกาสต่าง ๆ ที่ได้รับเข้ามา หลังจากนั้นโอกาสก็เข้าหาเรื่อย ๆ เพราะเรามั่นใจมากขึ้นและด้านนอกก็เห็นเรามากขึ้นเช่นเดียวกัน


Top Of Mind สำคัญมาก แต่คุณต้องยอมเสียภาพลักษณ์บางอย่าง

ตรงนี้คือสิ่งที่บุคคลสาธารณะต้องยอมครับ เมื่อเรามีตัวตนด้านต่าง ๆ จำเพาะเจาะจง เราจำเป็นต้องลดภาพลักษณ์ในหลาย ๆ ด้าน แต่ผมเชื่อว่าการลดบทบาทนี้ ในอนาคตในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าคุณไม่ลด คุณก็สร้างคุณค่าในรูปแบบ Personal Branding แบบตัวคุณเด่น ๆ ไม่ได้


อยู่ให้ถูกที่ คุณจะมีค่าเสมอ

อันนี้ก็จริงด้วยตัวของมันอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ต้องอธิบายเยอะ คนเราเก่งไม่เหมือนกัน ดังนั้นอยู่ให้ถูกที่มีค่าเสมอ ยกตัวอย่างหากเราโดดเด่นในด้านใด ๆ ก้ตามก็จงเข้าไปอยู่ในวงการนั้น จะทำให้เรามีโอกาสพบเจอคนรูปแบบเดียว ๆ กันที่สนใจเหมือน ๆ กัน


การเป็นผู้นำ และเป็นผู้นำที่ดี สำคัญมาก

ส่วนตัวมองว่าไม่ต้องทำธุรกิจหรอก ไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม ผู้นำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากผู้นำสั่งงานอย่างเดียว ไม่ช่วยลูกทีม หรือนำแบบผิด ๆ ไม่มี vision งานเราก็จะร่วงอย่างหเ็นได้ชัด สิ่งที่ตัวผมเองเป็นคือทำให้คนที่ร่วมงานกับเราเห็นถึง potential เรามากขึ้นเรื่อย ๆ ให้เค้ามั่นใจว่าเราเป็นผู้นำที่จะพางานหรือทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่ KPI ที่เราตั้งไว้ได้, ที่สำคัญคำว่า worklifebalance สำหรับตัวผมไม่มีอยู่จริงครับ จะทำได้ก็ต่อเมื่อเรามี MOAT ที่ดีพอ ซึ่งสำหรับ perfectionist อย่างผมแล้วกัดไม่ปล่อยทุก ๆ อย่างแน่นอน


ก้าวออกจาก Comfortzone ยากเสมอ

เมื่อเราอยากทำอะไรสักอย่างเราก็จะเกิดคำถามที่ว่าเราดีพอไหม เราเก่งพอไหม ผมจะบอกว่าในเมื่อผมทำได้ ทุก ๆ คนก็ทำได้เพราะผมเชื่ออย่างนั้น ก้าวแรกยากเสมอ ก้าวต่อไปก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ , ผมเชื่อว่าปัจจัยสองข้อที่จำกัดเราไว้คือ เงิน และเวลา ผมกลับมองต่างออกไปเราเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ใช้เงินน้อย และเวลาที่น้อยได้ ทำแบบ gradually เดี๋ยวจะ scale ขึ้นมาเองครับ และเราจะเห็น value ของงาน และเห็น value ของตนเองมากขึ้น

Fear zone → Learning zone ตรงส่วนนี้เราจะได้เรียนรู้มากขึ้น การเรียนรู้ก็มีอีกหลายแบบ แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าดีที่สุดคือ practical (ยอมเจ็บตัวหากพลาด) อันนี้จะได้บทเรียนราคาแพงเหมือนที่ผมบอกไปข้างตั้นในย่อหน้าแรก ๆ ครับ การผิดพลาดเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งช่วงที่เรียนอยู่ผมยอมเสี่ยงในหลาย ๆ เรื่องได้อยู่

และหลังจากนั้นคือ Growth Zone : zone ที่ทำให้เราก้าวออกมา และสนุกกับการออกมาจากสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน หลาย ๆ ครั้งเราจะเห็นโอกาสที่หากเราอยู่ที่เดิมเราก็จะไม่มีวันได้เห็นและไม่มีวันเข้าใจ


ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยทำ web app ช่วยลงทุนในหุ้น ถามหน่อยว่าถ้าเราไม่เคยเล่นหุ้นเราจะเข้าใจ และเห็นโอกาส, painpoint ไหม คำตอบคือไม่ (หรืออาจจะใช่ แต่แน่นอนว่าเราไม่ได้เห็น Painpoint ด้วยตัวเราเอง) ดังนั้นอีกสิ่งที่สำคัญคือเราเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในธุรกิจใหม่ ๆ และเนื่องจากเราเป็น dev ที่มี technical skills เราจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ยกตัวอย่างอีกอันนึง

นักลงทุน => สมมติเค้าอยากได้ website ช่วยเทรดหุ้น หรือทำนายหุ้นจาก database csv บลา ๆ สมมติเค้าแค่เห็น painpoint เรื่องอยากมี assistant (ซึ่งเค้าหมายถึง AI) มาช่วยทำนายหน่อย นักลงทุนผู้นี้เค้าก็รู้แค่ว่า AI มันทำให้ได้ แต่หากว่าคุณเป็น

นักลงุทน + Developer => เป็นสมการที่ Perfect เพราะคุณก็มีความรู้การ implement AI ว่าจะใช้เทคนิคอะไร และที่สำคัญคือ “AI ทำอะไรในงานนี้ได้บ้าง“ ดังนั้นหากเราอยู่ในหลาย ๆ วงการแล้วเจอ painpoint ด้วยตัวเองเราจะได้เปรียบและเห็นโอกาสเร็วกว่าคนอื่น ๆ เสมอ

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเป็นตัวผมนั้นเป็น นักลงทุน+Developer+Graphic Designer+Influencer+Youtuber+อืน ๆ… เห็นไหมครับว่าคุณค่าอยู่ที่คนมากกว่าอยู่ที่ชิ้นงานสะอีก

ปล. ในสายอาขีพที่ผมอยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอนาคตได้แก่ FinTech, Learning, Investment และ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแน่นอนครับว่าส่วนมากแล้วจะเป็น Tech solutions มากกว่า


ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ ดีกว่าตั้งเล็ก ๆ แล้วทำได้ 100%

สมมติว่าผมตั้งเป้าหมายว่าการแข่งขันผมพอใจเหรียญทองแดง ผมก็จะเตรียมตัวไปแค่พอเหรียญทองแดง แต่ถ้าเราตั้งเป้าว่าจะต้องได้ทอง เราจะใส่สุดแบบไม่คิดชีวิตเพื่อสิ่งที่ดีกว่า หมายความว่าต่อให้ผมไมไ่ด้ทอง แต่ได้เหรียญเงินมันก็ดูดีและยิ่งใหญ่กว่าการที่เราได้เหรียญทองแดงอยู่ดีจริงไหม ดังนั้นกล้าตั้งเป้าหมาย และไปให้ถึงมัน


ข้อสุดท้าย “ไม่มีคำว่าง่าย ต่อให้เราจะเก่งแค่ไหนก็ตาม”

หลาย ๆ คนอ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วคิดเหมือนกับผมว่า การแค่มี mindset แบบที่กล่าวไปแล้ว เราก็สำเร็จ สร้างได้ทุกอย่าง มันก็จริงแหละครับแต่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัว : ตั้งแต่วันแรกที่ผมทำ Pixelmath ขึ้นมา จนถึงวันนี้เป็นปีที่ 2-3 แล้ว ผมไม่เคยได้พักแม้แต่วันเดียว จะต้องเข้าไปบริหารด้านต่าง ๆ อยู่ตลอด เพราะชอบ เพราะมี passion, และขอเพิ่มเติมประโยคด้านบนด้วยคำว่า “ต่อให้เก่ง ก็ต้องพัฒนาอยู่เสมอ“


ไม่ดูถูกความสามารถ หรือคุณค่าของคนอื่น

รวมถึงแสดงความยินดีเมื่อคนรอบข้างหรือใครก็ตามทำสำเร็จ หรือเค้าทำอะไรได้ มันไม่ใช่การแสดงออกว่าเค้าเก่งกว่าเรา แต่มันคือการให้กำลังใจ ซึ่งทุก ๆ คนหากได้รับมันก็จะทำให้มีกำลังใจในการทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นจริง

ยกตัวอย่างเช่น : สมัยผมเริ่มสอนหนังสือแรก ๆ ลง youtube มีน้อง ๆ ทักมาว่าสอนดี สอนรู้เรื่องมาก เชื่อไหมครับว่าแค่คำพูดประมาณนี้ก็ทำให้ผมมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะมาก และที่สำคัญทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันมีคุณค่าจริง ๆ


อย่ากลัวการก้าวไปข้างหน้า แม้จะไม่มีเพื่อนก็ตาม

ประโยคนี้สำคัญมาก เมื่อก่อนเวลาที่ผมจะทำอะไรส่วนใหญ่ก็จะกลัว และการมีเพื่อนไปร่วมเส้นทางก็ถือว่าคลายความกลัวได้ค่อนข้างเยอะ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าสมมติเพื่อนไม่ได้ไปกับเรา เราเลยไม่ตัดสินใจเข้าร่วมงานสักงานนึงที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตในอนาคตหรือที่เราอยากไป เราก็จะไม่ได้ไป , ดังนั้น เส้นทางชีวิตของตัวเอง เราเลือกเองได้ กล้าที่จะไปข้างหน้าด้วยตนเอง

เชื่อไหมว่าสุดท้าย เราก็จะได้ไปเจอเพื่อน ๆ หรือ connection ใหม่ ๆ ที่ตรงสาย และคำพูดที่ว่า “ไม่มีเพื่อนไปด้วย“ มันก็จะหายไปเป็นคำว่า “เราเจอเพื่อนใหม่ ๆ เส้นทางเดียวกันกับเรา“ แทนครับ


ธุรกิจและการลองทำสิ่งใหม่ ๆ

หลาย ๆ คนมองการทำธุรกิจเป็นเรื่องที่ยาก ใช่ครับ ผมไม่เถียงเลยมันยาก และใช้พลังงานเยอะมากทั้งกายและใจ แต่ส่วนตัวแล้วการที่ผมจะตัดสินใจทำมันมี 2 ปัจจัยใหญ่ เรียงตาม priority ได้แก่

  1. Passion & Vision ว่าเรามีใจมากพอที่เราพร้อมจะ all in หรือใส่กาย ใส่ใจกับมันได้มากขนาดไหน บอกเลยว่าผมทำงานทุกวันไม่มีวันพักดังนั้นข้อนี้ผมมีแน่นอนกับธุรกิจที่ทำอยู่ตอนนี้

  2. ค่าตอบแทน สิ่งนี้ก็สำคัญเช่นกันว่าค่าตอบแทนจากการทำมันคุ้มค่าไหม หรือมันเติมเต็ม และ scale ได้ไหม ไม่ว่าจะเป็น เงิน, Connections หรือแม้แต่การมีตัวตนก็ตาม เพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคตด้วย

ดังนั้นถ้าไม่มีไฟ ผมไม่ทำ แต่ถ้าทำก็ทำจนสุดเหมือนกัน ยิ่งธุรกิจที่เริ่มใหญ่ขึ้นหากคุณเป็นคนที่เริ่มต้นมาด้วยตัวคนเดียวมันเริ่มไม่ไหว คุณต้องมีสกิลการบริหารคนเพิ่มเข้ามา คุมงบประมาณ ค่าใช้จ่าย รวมถึงการจ่ายภาษี สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดและยังมีเพิ่มเติมอีกยิบย่อยมาก ๆ นั้นล้วนแล้วแต่ทำให้ยุ่งยากในการบริหารมากขึ้น รวมถึงผมยังเรียนในมหาลัยอยู่ด้วย ดังนั้น ต้องแบ่งเวลาดีมาก ๆ ถึงจะ Handle ในทุก ๆ เรื่องได้

ทุก ๆ คนมักจะจำสิ่งที่เราทำสำเร็จ แต่ไม่เคยเห็นเบื้องหลังของเราว่าเหนื่อยขนาดไหน รวมถึงไม่รู้ด้วยว่าเราพลาดไปเยอะแค่ไหน ลองผิดลองถูกมาขนาดไหน

ก่อนหน้านี้ผมลองผิดลองถูกมาเยอะมาก ทั้งการฝึก skills , การสร้างธุรกิจที่ไม่ได้เปิดอยู่ตอนนี้แล้ว (เอาเข้าจริง ๆ ลองทำไปเกือบหลัก 10 อย่าง) คืออย่างน้อยมันก็ได้สกิลอะไรเพิ่มเติมมาเยอะมาก เช่น ได้ฝึก skill การเป็น fullstack, ได้หา analytics, insight, ได้ลองศึกษา Marketsize, journey ต่าง ๆ ซึ่งมองว่ามันคุ้มค่ากับที่เราเสียไป อย่างน้อยก็ได้อะไรดี ๆ อย่างน้อย 1 แง่มุมเสมอ :)


สุดท้ายนี้

สำหรับใครก็ตามที่สนใจร่วมงานกับทาง Pixelmath, Sheetly สามารถดูได้ที่หน้า Experience นะครับ เผื่อยื่น resume เข้ามา ผมจะพิจารณา รวมถึงหากสนใจด้านต่าง ๆ ก็ติดต่อมาในเมล์ tinnapatsittisuwan@gmail.com และเนื่องในเมื่อวานคือวันเกิดผมเองก็ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อวยพรนะครับ

Tinnapat Sittisuwan

Tinnapat Sittisuwan

Computer Engineering Student at Chulalongkorn University